สำหรับเจ้าของธุรกิจที่กำลังคิดจะเริ่มต้นมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง คำถามแรกที่มักจะอยู่ในใจเสมอคือ “ต้องกำเงินไปเท่าไหร่ถึงจะได้เว็บดีๆ สักหนึ่งเว็บ?”
ในฐานะที่ผมคลุกคลีอยู่กับการออกแบบเว็บไซต์มานาน ผมต้องบอกตามตรงว่าราคาการทำเว็บไซต์นั้น “กว้างมาก” ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักล้าน เปรียบเสมือนการสร้างบ้านครับ มีตั้งแต่บ้านน็อคดาวน์ไปจนถึงคฤหาสน์หรู บทความนี้ผมจะมากางตัวเลขให้เห็นชัดๆ ว่าในปี 2026 นี้ งบประมาณที่คุณต้องเตรียมควรเป็นเท่าไหร่ และคุณจะได้อะไรกลับมาบ้าง
1. ทำไมราคาเว็บไซต์ถึงไม่เท่ากันสักที่?
ปัจจัยที่ทำให้ราคาต่างกันไม่ได้อยู่ที่ “จำนวนหน้า” เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “คุณภาพของงานระบบและการออกแบบ” ครับ
-
ความสวยงามเฉพาะตัว (Unique Design): เว็บที่ออกแบบใหม่เพื่อแบรนด์คุณโดยเฉพาะ ย่อมมีราคาสูงกว่าเว็บที่ใช้เทมเพลตสำเร็จรูป
-
ประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX): เว็บที่คิดมาแล้วว่าลูกค้าคลิกตรงไหนจะซื้อง่ายที่สุด มีต้นทุนการคิดที่สูงกว่า
-
ความเร็วและความปลอดภัย: ระบบหลังบ้านที่จัดการมาดีจะช่วยให้เว็บไม่ล่มและโหลดไว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ SEO
2. เจาะลึกระดับราคาตามประเภทธุรกิจ (Market Price 2026)
ผมขอแบ่งระดับงบประมาณออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ เพื่อให้คุณเลือกให้เหมาะกับขนาดธุรกิจของคุณครับ
กลุ่มที่ 1: เว็บไซต์เริ่มต้นสำหรับ SME หรือ Landing Page (งบ 15,000 - 35,000 บาท)
กลุ่มนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ หรือใช้ทำแคมเปญโฆษณาเฉพาะกิจ
-
สิ่งที่จะได้รับ: เว็บไซต์ 1-5 หน้า, รองรับการแสดงผลบนมือถือ (Responsive), ใส่ข้อมูลสินค้า/บริการได้ครบถ้วน
-
ระบบที่ใช้: มักจะเป็น WordPress ร่วมกับเทมเพลตที่ปรับแต่งใหม่
-
ข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: อย่าเลือกเจ้าที่ราคาถูกเกินไป (เช่น 3,000-5,000 บาท) เพราะมักจะเป็นเว็บกึ่งสำเร็จรูปที่ปรับแต่งอะไรไม่ได้เลย และอาจมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยในระยะยาว
กลุ่มที่ 2: เว็บไซต์บริษัทแบบเน้นภาพลักษณ์และ SEO (งบ 40,000 - 80,000 บาท)
เหมาะสำหรับบริษัทที่ต้องการสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง มีเนื้อหาเยอะ และต้องการติดอันดับการค้นหาบน Google
-
สิ่งที่จะได้รับ: งานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ (Custom Feel), การวางโครงสร้าง SEO ที่ดี, ระบบจัดการเนื้อหาที่เจ้าของธุรกิจแก้ไขเองได้ง่าย, ระบบความปลอดภัยขั้นสูง
-
ระบบที่ใช้: WordPress แบบปรับแต่งพิเศษ หรือระบบ CMS อื่นๆ
-
ข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: งบระดับนี้คุณควรได้งานที่ "ปรึกษาได้" ไม่ใช่แค่ทำตามสั่ง แต่บริษัทรับทำเว็บควรช่วยคุณคิดด้วยว่าเมนูไหนควรอยู่ตรงไหน
กลุ่มที่ 3: เว็บไซต์ขายของออนไลน์เต็มรูปแบบ (E-commerce) (งบ 60,000 - 150,000+ บาท)
เหมาะสำหรับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมาก และต้องการระบบตัดบัตรเครดิต หรือสต็อกสินค้า
-
สิ่งที่จะได้รับ: ระบบตะกร้าสินค้า, ระบบชำระเงินอัตโนมัติ, ระบบสมาชิก, การคำนวณค่าขนส่ง
-
ข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ: หัวใจของเว็บ E-commerce คือ "ความง่าย" ครับ ถ้าลูกค้าต้องคลิกเกิน 3 ครั้งเพื่อจ่ายเงิน คุณจะเสียลูกค้าทันที ดังนั้นให้ความสำคัญกับความลื่นไหลของระบบมากกว่าความสวยงามเพียงอย่างเดียว
3. ค่าใช้จ่าย "ส่วนเกิน" ที่คุณต้องเตรียมใจไว้ (Hidden Costs)
นอกจากค่าจ้างทำเว็บครั้งแรกแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายรายปีที่คุณต้องรู้เพื่อไม่ให้งบบานปลายครับ
-
Domain Name (ชื่อเว็บไซต์): ประมาณ 500 - 1,000 บาท/ปี
-
Hosting (พื้นที่ฝากเว็บ): ประมาณ 2,000 - 6,000 บาท/ปี (ขึ้นอยู่กับความแรง)
-
Maintenance (ค่าดูแล): บางบริษัทอาจคิดค่าดูแลรายปี เพื่อคอยอัปเดตระบบและสำรองข้อมูลให้คุณ ซึ่งผมแนะนำว่าควรทำครับ เพราะถ้าเว็บโดนแฮกหรือพัง ค่าซ่อมแพงกว่าค่าดูแลแน่นอน
4. วิธีประหยัดงบแต่ยังได้ของดี
หากคุณมีงบจำกัด ผมมีเคล็ดลับมาบอกครับ
-
เตรียมเนื้อหาให้พร้อม: ยิ่งคุณส่งข้อมูล รูปภาพ และโลโก้ให้บริษัทเร็วเท่าไหร่ งานก็จบไว และอาจได้ส่วนลดค่าจัดการเนื้อหา
-
เริ่มจากเล็กไปใหญ่: ไม่จำเป็นต้องมี 20 หน้าในวันแรก เริ่มจากหน้าหลักที่จำเป็น (Pillar Page) แล้วค่อยๆ จ้างเขียนบทความหรือเพิ่มหน้าบริการในภายหลังเมื่อธุรกิจมีกำไร
จะเลือกราคาไหนดี?
คำตอบไม่ใช่ "ราคาที่ถูกที่สุด" แต่คือ "ราคาที่คุ้มค่าที่สุด" ครับ ถ้าเว็บไซต์ราคา 20,000 บาท แต่ไม่มีใครหาเจอและใช้งานยาก กับเว็บไซต์ราคา 50,000 บาท ที่ช่วยหาลูกค้าให้คุณได้เดือนละ 10 คน แบบหลังคือการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าเห็นๆ
ในปี 2026 นี้ เว็บไซต์ไม่ใช่แค่เครื่องประดับธุรกิจ แต่มันคือพนักงานขายที่เก่งที่สุดของคุณ
อ่านต่อ คู่มือการจ้างทำเว็บไซต์ฉบับสมบูรณ์ เตรียมตัวอย่างไรให้ได้เว็บสวย ใช้งานได้จริง และคุ้มค่าการลงทุน
กำลังตัดสินใจอยู่ใช่ไหมครับว่าธุรกิจของคุณควรใช้โปรเจกต์ระดับไหน? ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาครับ ทักมาปรึกษาเราได้เลย เราช่วยประเมินงบประมาณตามจริงตามความต้องการของคุณ พร้อมแนะนำแนวทางที่คุ้มค่าที่สุดให้ฟรี!



















